วันพฤหัสบดีที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2554

การใช้อินเตอร์เน็ตเบื้องต้น

ความหมายอินเตอร์เน็ต
อินเตอร์เน็ต คือ เครือข่ายของคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ที่เชื่อมโยงคอมพิวเตอร์ทั่วโลกไว้เข้าด้วยกันเพื่อให้คอมพิวเตอร์ทุกเครื่องที่เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตสามารถสื่อสารระหว่างกันได้
อิน เทอร์เน็ตเป็นเครือข่ายที่พัฒนามาจากอาร์พาเน็ต (ARPAnet) ซึ่งเป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์ภายใต้ความรับผิดชอบของหน่วยงานโครงการวิจัย ขั้นสูง (Advanced Research Projects Agency : ARPA ) ในสังกัดกระทรวงกลาโหมของประเทศสหรัฐอเมริกา อาร์พาเน็ตเป็นเครือข่ายทดลองที่ตั้งขึ้นเพื่อสนับสนุนงานวิจัยทางด้านทหาร ที่มีผลมาจากสงครามเย็นระหว่างกลุ่มประเทศในค่ายคอมมิวนิสต์กับค่ายเสรี ประชาธิปไตย ซึ่งสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศผู้นำในค่ายเสรีประชาธิปไตยที่ต้องพัฒนา เทคโนโลยีด้านการทหารให้ล้ำหน้ากว่าสหภาพโซเวียต
 


พัฒนาการของอินเตอร์เน็ต
เกิดขึ้น ค..ศ. 2512 (1969) กองทัพสหรัฐต้องเผชิญหน้ากับความเสี่ยงทางการทหาร และความเป็นไปได้ในการถูกโจมตีทำให้ไม่สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูล ข่าวสาร จึงมีแนวความคิดในการวิจัยระบบที่สามารถ เชื่อมโยงเครื่องคอมพิวเตอร์ และแลกเปลี่ยนข้อมูลกระทรวงกลาโหมอเมริกัน (DoD = Department of Defense) ได้ให้ทุนที่มีชื่อว่า DARPA(Defense Advanced Research Project Agency) ภายใต้การควบคุมของ Dr. J.C.R. Licklider ได้ทำการทดลองระบบเครือข่ายที่มีชื่อว่า DARPA Network และต่อมาได้กลายสภาพเป็น ARPANet (Advanced Research Projects Agency Network)และต่อได้มาพัฒนาเป็น INTERNET

อินเตอร์เน็ตในประเทศไทย
ประเทศไทยได้เริ่มติดต่อกับอินเทอร์เน็ตในปี พ.ศ. 2530 ในลักษณะการใช้บริการ จดหมายเล็กทรอนิกส์แบบแลกเปลี่ยนถุงเมล์เป็นครั้งแรกโดยเริ่มที่มหาวิทยาลัย สงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ (Prince of Songkla University) และสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชียหรือสถาบันเอไอที (AIT) ภายใต้โครงการความร่วมมือระหว่างประเทศไทยและออสเตรเลีย (โครงการ IDP) ซึ่งเป็นการติดต่อเชื่อมโยงโดยสายโทรศัพท์

การทำงานของอินเตอร์เน็ต
มีโปรโตคอล (Protocol) ซึ่งเป็นระเบียบวิธีการสื่อสารที่เป็นมาตรฐานของการเชื่อมต่อกำหนดไว้ โปรโตคอลที่เป็นมาตรฐานสำหรับการเชื่อมต่อ
อินเทอร์เน็ต คือ TCP/IP (Transmission Control Protocol/Internet Protocol) เพื่อใช้ในการติดต่อสื่อสาร

ชนิดของโปรโตคอล
- Tcp/IP :ใช้เพื่อให้เครื่องคอมพิวเตอร์ต่างชนิดกันสามารถติดต่อสื่อสารและรับส่งข้อมูลได้
- HTIP :ใช้เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตในรูปของ World Wide Web เชื่อมโยงข้อมูลที่อยู่ในรูปของ Hypertext
- File Transfer Protocol :ใช้สำหรับการถ่ายโอนไฟล์ระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์เท่านั่น
- Pop3 :ใช้ในการรับ-ส่ง E-mail

URL
เป็นรูปแบบการระบุตำแหน่งหรือที่อยู่บนอินเตอร์เน็ตโดย URL แบ่งได้เป็น 3 ส่วนย่อยๆ ดังนี้
- Protocol สำหรับระบุถึงโปรโตคอลที่ใช้ในการสื่อสารของเว็บไซต์
- Domain name ชื่อของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้เก็บไฟล์
- File Locate ส่วนนี้สำหรับระบุตำแหน่งของไฟล์ที่อยู่ในเว็บไซต์

คำศัพท์เกี่ยวกับเว็บไซต์มูล
- เว็บไซต์ แหล่งที่เก็บรวบรวมข้อมูลเอกสารและสื่อผสมต่าง ๆ ( รูปภาพ,เสียง,ข้อความ )
ของแต่ละบริษัทหน่วยงานหรือบุคคลแหล่งข้อมูลที่บรรจุอยู่บนเครือข่ายอินเตอร์เน็ต
- เว็บเพจ หน้าที่แสดงเอกสารเนื้อของเว็บไซต์ ของเอกสารแต่ละหน้า
- โฮมเพจ หน้าแรกของเว็บไซต์ หรือ ปกของหนังสือ

บริการโอนย้ายไฟล์
1. Web directory
2. Search Engine

การเชื่อมต่อเข้าสู้อินเตอร์เน็ต
- การเชื่อมต่อส่วนบุคคล
- การเชื่อมต่อแบบ Cooperate




รูปแบบการสื่อสารข้อมูล





องค์ประกอบพื้นฐานของระบบการสื่อสารข้อมูล

• ข้อมูล/ข่าวสาร (Message)
• ผู้ส่งสาร (Sender/Source)
• ผู้รับข้อมูล (Receiver/Destination)
• ตัวกลางในการส่งข้อมูล (Transmission Medium)
• โปรโตรคอล (Protocal)

การสื่อสารคมนาคม

• โทรคมนาคม หมายถึง การสื่อสารข้อมูลระยะทางไกลในรูปแบบสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์
• ปัจจุบันการถ่ายทอดสัญญาณส่วนใหญ่อยู่ในรูปแบบดิจิตอลโดยใช้คอมพิวเตอร์ในการส่งข้อมูลจากสถานที่หนึ่งไปยังอีกสถานที่หนึ่ง

องค์ประกอบของระบบสื่อสารโทรคมนาคม

• เครื่องคอมพิวเตอร์สำหรับประมวลผล
• เครื่องเทอร์มินิลสำหรับการรับหรือแสดงข้อมูล
• ช่องทางสื่อสาร
• อุปกรณ์สื่อสาร
• ซอฟต์แวร์สื่อสาร

เครื่องคอมพิวเตอร์สำหรับประมวลผล (เครื่องแม่ข่าย)

Web Server
Mail Server
Proxy Server
DNS Server
DHCP Server
Data Base Server
Applicatio Server
Map Server

ประเภทของสัญญาณ
แบ่งออกเป็น 2 ประเภท

1.สัญญาณอันอนาล็อก (Analog signal)
2.สัญญาณดิจิทัล (Digital signal)

ตัวกลางหรือช่องทางการสื่อสาร

 ช่องสื่อสาร (Communnication channels) หมายถึง รูปแบบใด ๆ ที่สามารถนำมาใช้ในการถ่ายทอดสัญญาณข้อมูลจากอุปกรณ์ตัวหนึ่งในระบบเครือ ข่ายไปยังอุปกรณ์อีกตัวหนึ่ง

สื่อนำสัญญาณ ประเภทสาย

  UIP : ต่อสายได้ไม่เกิน 100 เมตร ใช้หัว RJ-45
  STP : มีฟรอยหุ้ม
  COAXIAL : เชื่อต่อได้ไกล , ป้องกันสัญญาณรบกวน
  FIBER OPTIC : มีอัตราค่าลดทอนสัญญาณต่ำ

สื่อนำสัญญาณ ประเภทไร้สาย

  MICROWAVE
  SATELLITE
  WI-FI
  INFRARED
  BRUTHOOD

ความเร็วในการถ่ายทอดข้อมูล

  ปริมาณข้อมูลที่ส่งผ่านช่องสื่อสารใดๆ มีหน่วยวัดเป็นบิตต่อวินาที
  ช่วงคลื่นสัญญาณที่รวมกันอยู่ในช่องสื่อสารหนึ่งช่อง เรียกว่าความกว้างของช่องสื่อสาร

ประเภทของแรม (RAM) , ประเภทของรอม(Rom)

ประเภทของแรม (RAM)

โดยทั่วไปสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ คือ Static RAM (SRAM) โดยมีรายระเอียดดังนี้ 
  • Static RAM (SRAM) นิยมนำไปใช้เป็นหน่วยแครช (Cache) ภายในตัวซีพียู เพราะมีีความเร็วในการทำงานสูงกว่า DRAM มาก แต่ไม่สามารถทำให้มีขนาดความจุสูงๆได้ เนื่องจากกินกระแสไฟมากจนทำให้เกิดความร้อนสูง
  • Dynamic RAM(DRAM) นิยม นำไปใช้ทำเป็นหน่วยความจำหลักของระบบในรูปแบบของชิปไอซี (Integrated Circuit) บนแผงโมดุลของหน่วยความจำ RAM หลากหลายชนิด เช่น SDRAM,DDR SDRAM,DDR-II และ RDRAM เป็นต้น โดยออกแบบให้มีขนาดความจุสูงๆได้ กินไฟน้อย และไม่เกิดความร้อนสูง
ชนิดของแรมหรือแรม DRAM (ในปัจจุบัน)
DRAM ที่นำมาใช้ทำเป็ฯแผงหน่อยความจำหลักของระบบชนิดต่างๆในปัจจุบันดังนี้

SDRAM (Synchronous DRAM)
ตัวชืปจะใช้บรรจุภัณฑ์ (Package) แบบ TSOP (Thin Smail Outine Package) ติดตั้งอยู่บน แผงโมดูล แบบ DIMM (Dual Inline Memory Module) ที่มีร่องบากบริเวณแนวขาสัญญาน 2 ร่อง และมีจำนวนขาทั้งสิ้น 168 ขา ใช้แรงดันไฟ 3.3 โวลด์ ความเร็วบัสมีให้เลือกใช้ทั้งรุ่น PC-66 (66 MHz), PC-100 (100 MHz), PC-133 (133 MHz) และ PC-150 (150MHz) ปัจจุบันหมดความเป็นที่นิยมไปแล้ว จะพบได้ก็แต่เพียงในคอมพิวเตอร์รุ่นเก่าๆทั้งนั้น 
 
DDR SDRAM (Double Date Rate SDRAM)
ตัวชิปจะใช้บรรจุภัณฑ์แบบ TSOP เช่นเดียวกับ SDRAM และมีขนาด ความยาวของแผงโมดูลเท่ากัน คือ 5.25 นิ้ว ติดตั้งอยู่บนแผงโมดูลแบบ DIMM ที่มีร่องบากบริเวณแนวขาสัญญาณ 1 ร่อง และมีจำนวนขาทั้งสิ้น 184 ขาใช้แรงดันไฟ 2.5 โวลด์ รองรับความจุสูงสุดได้ 1 GB/แผง ความเร็วบัสในปัจจุบันมีใหเเลือกใช้ตั่งแต่ 133 MHz (DDR-266) ไปจนถึง 350 MHz (DDR-700) สำหรับ DRAM ชนิดนี้ปัจจุบันกำลังจะตกรุ่น
การจำแนกรุ่นของ DDR SDRAM นอกจากจะจำแนกออกตามความเร็วบัสที่ใช้งาน เช่น DDR-400 (400 MHz effective) ซึ่งคิดจาก 200 MHz (ความถี่สัญญาณนาฬิกา๗ x 2 (จำนวนครั้งที่ใช้รับส่งข้อมูลในแต่ละรอบของสัญญาณนาฬิกา) แล้ว ยังถูกจำแนกออกตามค่าอัตราความเร็วในการรับส่งข้อมูล (Bandwidth) ที่มีหน่วยความจำเป็นเมกะไบต์ต่อวินาที (MB/s) ด้วยเช่น PC3200 ซึ่งคิดจาก 8 (ความกว้างของบัสขนาด 8 ไบต์ หรือ 64 บิต) x 200 MHz (ความถี่สัญญาณนาฬิกา) x 2 (จำนวนครั่งที่ใช้รับส่งข้อมูลในแต่ละรอบสัญญาณนาฬิกา)เท่ากับอัตตราความ เร็วในการรับส่งข้อมูลที่ 3,200 MB/s โดยประมาณนั่นเอง นอกจากนี้ยังมีรุ่นอื่นๆอีก เช่น PC2100 (DDR-266), PC2700(DDR-33), PC3600 (DDR-450), PC4000(DDR-500),PC4200(DDR-533), และ PC5600 (DDR-700) เป็นต้น

DDR-II SDRAM
ตัวชิปจะใช้บรรจุภัณฑ์แบบ FBGA (Fine-Pitch Ball Gril Array) ที่มีความต้านทานไฟฟ้าต่ำก่าแบบ TSOP อีกทั่งยังสามารถออกแบบให้ตัวชิปมีขนาดเล็กแ
ะบางลงได้ ชิปดังกล่าวถูกติดตั้งอยู่บนแผงโมดูลแบบ DIMM ที่มีร่องบากบริเวณแนวขาสัญญาณ 1 ร่อง และมีจำนวนขาทั่งสิ้น 240 ขา ใช้แรงดันไฟเพียง1.8โวลต์ รองรับความจุได้สูงสุดถึง 4 GB ความเร็วบัสในบัจจุบันมีให้เลือกใช้ตั่งแต่ 200 MHz (DDR2-400) ไปจนถึง 450 MHz (DDR2-900) สำหรับ DRAM ชนิดนี้ปัจจุบันกำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก จนคาดว่าในอีกไม่ช่าจะเข้ามาแทนที่มาตรฐานเดิมคือ DDR SDRAM ในที่สุด
นอกจากรุ่นของ DDR-II นอกจากจำแนกออกตามความเร็วของบัสที่ใช้งาน เช่น DDR2-667 (667 MHz effective) ซึ่งคิดจาก 333 MHz (ความถี่สัญญาณนาฬิกา) x 2 จำนวนครั่งที่ใช้รับส่งข้อมูลในแต่ละรอบของสัญญาณนาฬิกา) แล้ว ยังถูกจำแนกออกตามค่าแบนด์วิดธ์ (Bandwidth) ด้วย เช่น PC2-5400 ซึ่งคิดจาก 8 (ความกว้างของบัสขนาด 8 ไบต์) x 333 MHz ( ความถี่สัญญาณนาฬิกา) x 2 (จำนวนครั่งที่ใช้รับส่งข้อมูลในแต่ระรอบของสัญญาณนาฬิกา๗ เท่าอัตตราความเร็วในการรับส่งข้อมูลที่ 5,400 MB/s โดยประมั่นเอง นอกจากนี้ยังมีรุ่นอื่นๆอีกเช่น PC2-4300 (DDR-533),PC2-6400(DDR2-800) และ PC2-7200 (DDR2-900) เป็นต้น

RDAM (RAMBUS DRAN)


ถูกพัฒนาขึ้นมาโดยบริษัท Rambus lnc โดยนำมาใช้งานครั้งแรกร่วมกับชิปเซ็ต i850 และซีพียู Pemtium 4 ของ Intel ในยุคเริ่มต้น ปัจจุบันไม่ค่อยได้รับความนิยมเท่าที่ควร โดยชิปเซ็ตและเมนบอร์ดของ Intel เพียงบางรุ่นเท่านั้นที่สนับสนุน ตัวชิปจะใช้บรรจุภัณฑ์แบบ CSP (Chip-Scale Package) ติดตั้งอยู่บนแผงโมดูลแบบ RIMM (Rambus Inline Memory Module) ที่มีร่องบากบริเวณแนวขาสัญญาณ 2 ร่อง ใช้แรงดันไฟ 2.5 โวลต์ และรองรับความจุสูงสุดได้มากถึง 2 GB ปัจจุบัน RDRAM ที่มีวางขายในท้องตลาด สามารถแบ่งได้ออกเป็น 2 กลุ่ม คือ
  • RDRAM (16บิต) เป็น RDRAM แบบ Single Channel ที่มีความกว้างบัส 1 แชนแนลขนาด 16 บิต (2ไบต์) มีจำนวลขาทั้งสิ้น 184 ขา การจำแนกรุ่นโดย มากจำแนกออกตามความเร็วบัสที่ใช้งาน เช่น PC-800 (800 MHz),PC-1066(1,066 MHZ) และ PC-1200 (1,200 MHz) เป็นต้น
  • RDRAM(32บิต) เป็น RDRAM แบบ Dual Channel ที่มีความกว้างบัส 2 แชแนลขนาด 32 บิต (4ไบต์) มีจำนวนขาทั้งสิ้น 242 ขา การจำแนกรุ่นโดยมากจะจำแนกออกตามค่าแบนด์วิดธ์ (Bandwidth) ที่ได้รับ เช่น RIMM 3200(PC-800),RIMM 4200(PC-1066),RIMM 4800(PC-1200) และ RIMM 6400 (PC-1600) เป็นต้น
นอก จากนี้ในอนาคตยังอาจพัฒนาให้มีความกว้างบัสเพิ่มมากขึ้นถึง 4 แชนแนลขนาด 64 บิต(8 ไบต์) ที่ทำงานด้วยความเร็วบัสสูงถึง 1,333 และ 1,600 MHz effective ออกมาด้วย โดยจะให้แบนด์วิดธ์มากถึง 10.6 และ 12.8 GB/s ตามลำดับ 
 
 
 
ประเภทของรอม(Rom)
    • Manual ROM

    • ROM (READ-ONLY MEMORY)
                ข้อมูลทั้งหมดที่อยู่ใน ROM จะถูกโปรแกรม โดยผู้ผลิต (โปรแกรม มาจากโรงงาน) เราจะใช้ ROM ชนิดนี้ เมื่อข้อมูลนั้น ไม่มีการเปลี่ยนแปลง และมีความต้องการใช้งาน เป็นจำนวนมาก ผู้ใช้ไม่สามารถ เปลี่ยนแปลงข้อมูลภายใน ROM ได้
               โดย ROM จะมีการใช้ technology ที่แตกต่างกันตัวอย่างเช่น BIPOLAR, CMOS, NMOS, PMOS
       
    • PROM (Programmable ROM)

    • PROM (PROGRAMMABLE READ-ONLY MEMORY)
              ข้อมูลที่ต้องการโปรแกรมจะถูกโปรแกรมโดยผู้ใช้เอง โดยป้อนพัลส์แรงดันสูง (HIGH VOLTAGE PULSED) ทำให้ METAL STRIPS หรือ POLYCRYSTALINE SILICON ที่อยู่ในตัว IC ขาดออกจากกัน ทำให้เกิดเป็นลอจิก “1” หรือ “0” ตามตำแหน่ง ที่กำหนดในหน่วยความจำนั้นๆ เมื่อ PROM ถูกโปรแกรมแล้ว ข้อมูลภายใน จะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้อีก หน่วยความจำชนิดนี้ จะใช้ในงานที่ใช้ความเร็วสูง ซึ่งความเร็วสูงกว่า หน่วยความจำ ที่โปรแกรมได้ชนิดอื่นๆ
    • EPROM (Erasable Programmable ROM)

    • EPROM (ERASABLE PROGRAMMABLE READ-ONLY MEMORY)
              ข้อมูลจะถูกโปรแกรม โดยผู้ใช้โดยการให้สัญญาณ ที่มีแรงดันสูง (HIGH VOLTAGE SIGNAL) ผ่านเข้าไปในตัว EPROM ซึ่งเป็นวิธีเดียวกับที่ใช้ใน PROM แต่ข้อมูลที่อยู่ใน EPROM เปลี่ยนแปลงได้ โดยการลบข้อมูลเดิมที่อยู่ใน EPROM ออกก่อน แล้วค่อยโปรแกรมเข้าไปใหม่ การลบข้อมูลนี้ทำได้ด้วย การฉายแสง อุลตร้าไวโอเลตเข้าไปในตัว IC โดยผ่าน ทางกระจกใส ที่อยู่บนตัว IC เมื่อฉายแสง ครู่หนึ่ง (ประมาณ 5-10 นาที) ข้อมูลที่อยู่ภายใน ก็จะถูกลบทิ้ง ซึ่งช่วงเวลา ที่ฉายแสงนี้ สามารถดูได้จากข้อมูล ที่กำหนด (DATA SHEET) มากับตัว EPROM และ มีความเหมาะสม ที่จะใช้ เมื่องานของระบบ มีโอกาส ที่จะปรับปรุงแก้ไขข้อมูลใหม่
    • EAROM (Electrically Alterable ROM)

    • EAROM (ELECTRICALLY ALTERABLE READ-ONLY MEMORY)
                EAROM หรืออีกชื่อหนึ่งว่า EEPROM (ELECTRICAL ERASABLE EPROM) เนื่องจากมีการใช้ไฟฟ้าในการลบข้อมูลใน ROM เพื่อเขียนใหม่ ซึ่งใช้เวลาสั้นกว่าของ EPROM
               การลบขึ้นอยู่กับพื้นฐานการใช้เทคโนโลยีที่แตกต่างกัน ดังนั้น EAROM (ELECTRICAL ALTERABLE ROM) จะอยู่บนพื้นฐานของเทคโนโลยีแบบ NMOS ข้อมูลจะถูกโปรแกรมโดยผู้ใช้เหมือนใน EPROM แต่สิ่งที่แตกต่างก็คือ ข้อมูลของ EAROM สามารถลบได้โดยทางไฟฟ้าไม่ใช่โดยการฉายแสงแบบ EPROM

วันพุธที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2554

Google Earth

          Google Earth เป็นหนึ่งในบริการฟรีๆ ของ Google ที่พูดถึงกันมากที่สุดในขณะนี้ และตอนนี้ก็มีถึงเวอร์ชันที่ 6 แล้ว  โปรแกรม Google Earth นี้เป็นเทคโนโลยีช่วยให้คุณท่องโลกไปในสถานที่ใดๆ ได้ตามต้องการอย่างไร้ขีดจำกัด ด้วยการย่อโลกทั้งใบให้อยู่ภายในหน้าจอของคุณ และยังเรียกภาพ 3 มิติมาดูได้ ซึ่งเป็นการนำภาพถ่ายผ่านดาวเทียมมุมสูงมาสร้างเป็นแผนที่ 3 มิติ
          การทำงานพื้นฐานของ Google Earth มาจากเทคโนโลยี Geographic Information System (GIS) ที่อาศัยแผนที่ดิจิตอลจากระบบดาวเทียมในการดูแผนที่สำคัญที่มีพิกัดทั่วโลก ซึ่งบางครั้งภาพที่ได้มีความละเอียดถึงระดับที่สามารถของเห็นถนนและหลังคา บ้านได้เลยทีเดียว และทุกจุดบนแผนที่จากดาวเทียม สามารถย่อและขยายขนาดได้ตามต้องการ อย่างในบ้านเราสถานที่ในกรุงเทพ และเชียงใหม่จะเห็นชัดมากที่สุด เพราะจะมีความละเอียดของภาพที่สูงมาก 


ข้อเสีย :: Google Earth จะใช้งานได้ต่อเมื่อ เครื่องได้ทำการ เชิ่อมต่อ Internet อยู่เท่านั้น เพราะรูปถ่ายจากดาวเทียมต่างๆ จะ ถูกส่งมาให้เรา ทาง Internet ในขณะที่เราเลือกดูส่วนต่างๆของโลก

ข้อดี ::  ดูภาพถ่ายองทุกมุมโลก จากดาวเทียม ซึ่งมีความละเอียดสูงมาก สามารถ ขยายภาพ จากโลกทั้งใบ ไปสู้ประเทศ และลงไปจนถึงวัตถุเล็ก เช่น ถนน ตรอก ซอกซอย รถยนตร์ บ้านคน



Google Maps กับ Google Earth แตกต่างกันอย่างไร? 

 

Google Earth จะต้องใช้งานผ่านโปรแกรมที่ติดตั้งบน desktop ซึ่ง จะมีความสามารถ และเครื่องมือสนับสนุนการทำงานมากกว่า นอกเหนือจาก การค้นหาพิกัด การซูม การหมุน ยังสามารถสร้างภาพสามมิติได้ สามารถวาดภาพ ส่งออกข้อมูล และเพิ่มเติมข้อมูลเข้าไปได้ และคุณสมบัติอื่นๆ ดังนั้นถ้าเครื่องคอมฯ ไม่ได้ติดตั้งโปรแกรม Google Earth ก็จะใช้ไม่ได้ ต้องไปดาวน์โหลดมาติดตั้งก่อน



Google Maps ใช้งาน ผ่านBrowser (Internet Explorer, Firefox ฯลฯ ) สามารถทำการซูม ค้นหาได้แผนที่ สถานที่ต่างๆ ได้ และสามารถสร้าง code สำหรับที่จะนำแผนที่บริเวณ ที่เราต้องการไปใส่ฝังในหน้าเว็บอื่นได้ แต่มีข้อจำกัดในเรื่องของการซูม ปัจจุบันรองรับภาษาไทยแล้ว ถ้าจะปักหมุดหรือใส่ข้อมูลต่างๆ ต้องสมัครเป็นสมาชิก Google หรือ Gmail ก่อน

วันศุกร์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ประวัติส่วนตัวว


นางสาวอัฏชา  ศิริรัตน์
ชื่อเล่น ฟาร์
เกิดวัน เสาร์ ที่ 27 กุมภาพันธ์  2536
จบจาก วิทยาลัยเทคนิคกระบี่

E-Mail :  kan_cha_@hotmail.com

ยุคของคอมพิวเตอร์ สามารถแบ่งได้เป็น 5 ยุค

คอมพิวเตอร์ยุคที่ 1
อยู่ระหว่างปี พ.ศ. 2488 ถึง พ.ศ. 2501 เป็นคอมพิวเตอร์ที่ใช้หลอดสุญญากาศซึ่งใช้กำลังไฟฟ้าสูง จึงมีปัญหาเรื่องความร้อนและไส้หลอดขาดบ่อย ถึงแม้จะมีระบบระบายความร้อนที่ดีมาก การสั่งงานใช้ภาษาเครื่องซึ่งเป็นรหัสตัวเลขที่ยุ่งยากซับซ้อน เครื่องคอมพิวเตอร์ของยุคนี้มีขนาดใหญ่โต เช่น มาร์ค วัน (MARK I), อีนิแอค (ENIAC), ยูนิแวค (UNIVAC)
มาร์ค วัน
      
                                                                      อินิแอค                                                                                                    

ยูนิแวค
คอมพิวเตอร์ยุคที่ 2
คอมพิวเตอร์ยุคที่สอง อยู่ระหว่างปี พ.ศ. 2502 ถึง พ.ศ. 2506 เป็นคอมพิวเตอร์ที่ใช้ทรานซิสเตอร์ โดยมีแกนเฟอร์ไรท์เป็นหน่วยความจำ มีอุปกรณ์เก็บข้อมูลสำรองในรูปของสื่อบันทึกแม่เหล็ก เช่น จานแม่เหล็ก ส่วนทางด้านซอฟต์แวร์ก็มีการพัฒนาดีขึ้น โดยสามารถเขียนโปรแกรมด้วยภาษาระดับสูงซึ่งเป็นภาษาที่เขียนเป็นประโยคที่คนสามารถเข้าใจได้ เช่น ภาษาฟอร์แทน ภาษาโคบอล เป็นต้น ภาษาระดับสูงนี้ได้มีการพัฒนาและใช้งานมาจนถึงปัจจุบัน
คอมพิวเตอร์ยุคที่ 3
 คอมพิวเตอร์ยุคที่สาม อยู่ระหว่างปี พ.ศ. 2507 ถึง พ.ศ. 2512 เป็นคอมพิวเตอร์ที่ใช้วงจรรวม (Integrated Circuit : IC) โดยวงจรรวมแต่ละตัวจะมีทรานซิสเตอร์บรรจุอยู่ภายในมากมายทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์จะออกแบบซับซ้อนมากขึ้น และสามารถสร้างเป็นโปรแกรมย่อย ๆ ในการกำหนดชุดคำสั่งต่าง ๆ ทางด้านซอฟต์แวร์ก็มีระบบควบคุมที่มีความสามารถสูงทั้งในรูประบบแบ่งเวลาการทำงานให้กับงานหลาย ๆ อย่าง
                                                             
คอมพิวเตอร์ยุคที่ 4
คอมพิวเตอร์ยุคที่สี่ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2513 จนถึงปัจจุบัน เป็นยุคของคอมพิวเตอร์ที่ใช้วงจรรวมความจุสูงมาก(Very Large Scale Integration : VLSI) เช่น ไมโครโพรเซสเซอร์ที่บรรจุทรานซิสเตอร์นับหมื่นนับแสนตัว ทำให้ขนาดเครื่องคอมพิวเตอร์มีขนาดเล็กลงสามารถตั้งบนโต๊ะในสำนักงานหรือพกพาเหมือนกระเป๋าหิ้วไปในที่ต่าง ๆ ได้ ขณะเดียวกันระบบซอฟต์แวร์ก็ได้พัฒนาขีดความสามารถสูงขึ้นมาก มีโปรแกรมสำเร็จให้เลือกใช้กันมากทำให้เกิดความสะดวกในการใช้งานอย่างกว้างขวาง

                                                                       
คอมพิวเตอร์ยุคที่ 5
คอมพิวเตอร์ยุคที่ห้า เป็นคอมพิวเตอร์ที่มนุษย์พยายามนำมาเพื่อช่วยในการตัดสินใจและแก้ปัญหาให้ดียิ่งขึ้น โดยจะมีการเก็บความรอบรู้ต่าง ๆ เข้าไว้ในเครื่อง สามารถเรียกค้นและดึงความรู้ที่สะสมไว้มาใช้งานให้เป็นประโยชน์ คอมพิวเตอร์ยุคนี้เป็นผลจากวิชาการด้านปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI) ประเทศต่างๆ ทั่วโลกไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และประเทศในทวีปยุโรปกำลังสนใจค้นคว้าและพัฒนาทางด้านนี้กันอย่างจริงจัง

เทคนิค flash พื้นฐาน เคลื่อนที่ตามเส้นแบบเนียนๆ

มาดูขั้นตอนการทำเลยค่ะ
1. ขั้นแรกเราต้องเตรียมรูป ไว้ก่อน
 
รูปภาพพื้นหลัง ประกอบ เทคนิค flash พื้นฐาน

รูปภาพพื้นหลัง ประกอบ เทคนิค flash พื้นฐาน
รูปใบไม้ ที่หล่นลงมา
รูปใบไม้ ที่หล่นลงมา



2. จากนั้นเราก็เปิดโปรแกรม flash cs ขึ้นมา แล้วสร้างเอกสารขึ้นมาใหม่ กำหนดขนาด  size(properties ด้านล่าง ถ้าไม่เจอกด  ctrl+F3 ) ให้เท่ากับภาพเราากตัวอย่างใช้ 280*300 และกำหนด frame rate
12
3. import รูปทั้งสองเข้ามา Ctrl+ R หรือ file > import > > import to stage…  จากนั้นรูปจะเข้ามาอยู่ ใน stage เข้าในเฟรม1 เลเยอร์ 1 ลบมันออกก่อนค่ะ
4.เปลี่ยนชื่อ layer1 ให้เป็น bg และนำรูปพื้น bg มาใส่ในเลเยอร์  bg
5. สร้างเลเยอร์ข้นมาใหม่อีก1เลเยอร์ ชื่อว่า leave และนำรูปใบไม้ที่เตรียมไว้ นำไปใส่ไว้ในเลเยอร์นี้
6.ที่เลเยอร์ leave กด F8 เพื่อ convert to symbol ตั้งชื่อ leave_mc เลือกช่อง Graphic กดOK และไปกด F6 ที่เลเยอร์ leave เฟรม 35
 
เทคนิค flash พื้นฐาน
เทคนิค flash พื้นฐาน

 7. สร้าง guide โดยไปที่ปุ่ม ตามรูปด้านล่างนี้ค่ะ

เทคนิค flash พื้นฐาน
เทคนิค flash พื้นฐาน

8.จากนั้นก็ใช้เครื่องมือ pencil หรือ line,pen ก็ได้จากตัวอย่างนี้ใช้ pencilคับ วาดทิศทางในการเคลื่อนที่
 
เทคนิค flash พื้นฐาน
เทคนิค flash พื้นฐาน
 9.จากนั้นก็กลับมาที่ เลเยอร์ leave เฟรม 1และนำเมาส์ไปล่าง รูปใบไม้ให้มาติดกับเส้นด้านบนที่เราวาดไว้

เทคนิค flash พื้นฐาน
เทคนิค flash พื้นฐาน

10 มาที่เลเยอร์ 35 บ้างคับ ทำเหมือนกับขั้นตอนที่ 9 คับ แต่คราวนี้เราย้ายจากจุดเริ่มต้น มาไว้ยังจุดสุดท้ายของเส้นโดยให้จุดวงกลมมันติดกับเส้น guide

เทคนิค flash พื้นฐาน
เทคนิคflashพื้นฐาน

11. นำเมาส์มาวางที่เลเยอร์ leave แล้วคลิกขวาเลือก create motion tween

เทคนิค flashพื้นฐาน
เทคนิค flashพื้นฐาน

12 เพื่อให้การเคลื่อนไหวที่เนียนเรามาเลือก orient to path ตรง properties เทคนิค flash พื้นฐาน
สุดท้ายดูผลเลยค่ะ ctrl+enter



อ้างอิง :: http://www.sadung.com/?p=311